การผสมผสานระหว่างตกแต่งภายใน และธรรมชาติข้างนอก การออกแบบทันสมัยในยุคกลางศตวรรษ: ผลงานของใครและสิ่งที่คุณควรจะรู้

จากระเบียงที่มีวิวธรรมชาติแสดงผ่านจอ ไปจนถึงโรงแรมที่ลอยน้ำได้ ความตั้งใจที่จะสร้างที่พักอาศัยที่ใกล้ชิดกับธรรมชาติที่สุดมักเป็นเรื่องที่ท้าทาย

ความต้องการที่จะมีที่หลบภัยจากธรรมชาตินั้นมีมานานตั้งแต่สมัยโบราณ แต่ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 เราสามารถนำธรรมชาติกลับเข้ามาข้างในที่พักอาศัย ด้วยโลหะที่ทนทาน ะกระจกที่แข็งแรง และวัสดุใหม่ๆเหล่านี้ช่วยให้สถาปนิกซึ่งเป็นผู้บุกเบิกทางนวัตกรรม ได้ผสมผสานรวมโลกภายนอก เข้าสู่การตกแต่งภายในที่อยู่อาศัยของเรา จุดสูงสุดของการเคลื่อนไหวนี้นั้นมีอยู่ชัดเจนตอนช่วงยุคกลางศตวรรณ โดยเฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกา

นาย แฟรงก์ ลอยด์ ไรท์ (Frank Lloyd Wright) เป็นหนึ่งในสถาปนิกชาวอเมริกัน ที่คิดทบทวนออกแบบบ้านคล้ายบังเกอร์ ที่มีหน้าต่างแค่ไม่กี่บาน เพื่อทำให้เราได้ใกล้ชิดกับสภาพแวดล้อมของเรามากขึ้น เขาได้รับแรงบันดาลใจมาจากวัฒนธรรมญี่ปุ่นที่รวบรวมธรรมชาติข้างนอกให้เข้ากับการตกแต่งภายในบ้าน เขาจึงแสวงหาการผสมผสานการตกแต่งภายใน / สภาพแวดล้อมข้างนอกกับแนวคิด “Prairie School” ซึ่งเป็นแนวคิดสถาปัตยกรรมอเมริกันที่มีความคิดแบบก้าวหน้า ที่ปฎิเสธการนำดีไซน์แบบกรีกกับโรมันของยุโรปมาใช้ ในช่วง 20 ปีแรกของศตวรรษ ไรท์ได้โปรโมทแนวคิดที่เขาเรียกว่า “Organic architecture” (หรือ สถาปัตยกรรมอินทรีย์) ที่มีความเชื่อสุดโต่งว่า บ้านควรมีการออกแบบให้อยู่ร่วมกับภูมิทัศน์ที่บ้านสร้างไว้อยู่ ไม่ใช่การถูกสร้างให้แตกต่างออกไป

สไตล์ของการออกแบบบ้านแบบสากลช่วงยุคค.ศ. 1920 ได้พัฒนาออกมายิ่งขึ้น โดยการละทิ้งสิ่งตกแต่งและสีสันต่างๆ แต่มาใช้การใช้ลวดลายที่ดูเรียบง่าย ซึ่งเห็นได้ชัดว่านี่เป็นแรงบันดาลใจให้กับการออกแบบบ้านสมัยกลางศตวรรษ การทำลายกำแพงลงเพื่อปูทางให้กับผังพื้นที่เปิดโล่ง และหน้าต่างกว้างบานใหญ่ที่เบลอเส้นแบ่งระหว่างความปลอดภัยของการอยู่ในร่มและความมหัศจรรย์ของโลกธรรมชาติภายนอก

มหานครที่เติบโดขึ้นอย่างรวดเร็วอย่าง ลอส แองเจลิส ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ได้กลายเป็นกล่องทรายสำหรับสถาปนิก ที่ชื่นชอบพื้นที่กว้างๆ เพื่อออกแบบและขยายให้ที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น และมีความพร้อมทางวัสดุอุตสาหกรรม

เรามาดูตัวอย่างของบ้านทั้งสองแห่งที่ออกแบบจากแนวคิดช่วงกลางศตวรรษที่ลอสแองเจลิสกัน

สถาปนิกที่เพิ่งเริ่มทำงานต้องทำบ้านของตัวเองให้วิเศษที่สุด ในปีค.ศ. 1932 ริชาร์ด นิวตรา ออกแบบบ้านของตัวเองให้รู้สึกเหมือนเป็นพื้นที่เปิดโล่ง แต่แลดูสันโดษกับวิวทิวทัศน์ที่ดูกว้างไกล จัดตั้งอยู่บนพื้นที่ขนาด 60 x 70 นิ้ว (หรือประมาณ 18 x 20 เมตร) ที่พักมีความสูงสองชั้นที่สร้างโดยกระจกมากมาย และมีสระว่ายน้ำสะท้อนวิว ห้องใต้ดิน และเพนต์เฮาส์ที่มีวิวของทุ่งหญ้าและอ่างเก็บน้ำซิลเวอร์เลคที่อยู่ใกล้เคียง บันไดในบ้านจึงทำหน้าที่เป็นแกนสำหรับห้องเล็กๆต่างๆของแต่ละชั้น มีโทนสีที่เป็นกลางและเฟอร์นิเจอร์ที่ดูเรียบง่าย ไม่หวือหวา ทั้งหมดนี้ช่วยให้เราได้รับประสาทสัมผัสของทั้งแสง อากาศ พื้นที่รอบข้าง และน้ำ แม้บ้านต้นฉบับถูกทำลายลงไปด้วยเหตุการณ์ไฟไหม้เมื่อปีค.ศ. 1963 นิวตรา และลูกชายของเขาได้สร้างบ้านหลังนี้ขึ้นมาใหม่ คุณสามารถเยี่ยมชมบ้านหลังนี้ได้ เพราะบ้านและสตูดิโอนั้นเปิดให้บุคคลทั่วไปได้เข้าชมแล้ว สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม ไปที่เว็บไซต์ neutra-vdl.org

ในปีค.ศ. 1957 ชีเฮช “บัค” (CH “Buck”) และ คาร์ลอตต้า สตาห์ล (Carlotta Stahl) ได้จ้างสถาปนิกเด็กหนุ่มเพื่อออกแบบบ้านในฝันของพวกเขา ซึ่งสร้างด้วยกระจกบ้านใหญ่ เหล็ก และคอนกรีตบนเนินเขาที่ดูล่อแหลม บ้านของสตาห์ล หรือที่เรียกว่า Stahl House นั้นได้กลายเป็นผลงานที่มีเอกลักษณ์ในแวดวงสถาปัตยกรรม นี่คือหนึ่งในโครงการบ้านเคสตัวอย่าง ซึ่งริเริ่มโดยนิตยสาร Arts and Architecture ซึ่งได้มอบหมายให้สถาปนิกชื่อดังได้สร้างบ้านจำลองที่ราคาไม่แพง เพื่อตอบสนองตลาดที่อยู่อาศัยของประเทศสหรัฐ ที่กำลังเป็นเติบโตอยู่ในยุคนั้น

ถึงแม้จัดตั้งอยู่บนที่สูงในฮอลลีวูด ฮิลส์จะเป็นสิ่งท้าทาย แต่วิวทิวทัศน์ที่สวยงามจากแนวภูเขา ตัวเมืองลอสแองเจลิส และมหาสมุทรแปซิฟิก ทำให้ทุกอย่างมีความคุ้มค่า การออกแบบช่วยลดอุปสรรคต่างๆที่จะขัดขวางทิวทัศน์ ด้วยกำแพงกระจกท่ทำให้เห็นถึง 3 ด้าน และตัวรากฐานของห้องรับแขกที่ยืนออกไปข้างนอก ทำให้ห้องรับแขกเหมือนลอยตัวออกมาอยู่เหนือตัวเมือง การออกแบบที่โลดโผนกับสถานที่ทำให้ Stahl House เป็นไอคอนของการออกแบบบ้านยุคสมัยโมเดิร์น

บ้านหลังนี้ถูกจัดแสดงในภาพยนตร์ รายการโทรทัศน์ และรูปภาพต่างๆ จึงกลายเป็นสถานที่สำคัญของลอสแองเจลิส และสถานที่นี้ได้ถูกจารึกเข้าไปในวัฒนธรรมของอเมริกา เมื่อได้ถูกลงบันทึกเข้าไปในทะเบียนพื้นที่ประวัติศาสตร์แห่งชาติ