โยโกฮาม่า ประเทศญี่ปุ่น (04 มกราคม 2561) – นิสสันนำเสนอความก้าวล้ำของเทคโนโลยีการขับขี่ผ่าน B2V (Brain-to-Vehicle) ที่จะทำให้ยานยนต์สามารถรับรู้และวิเคราะห์สัญญาณสมองของผู้ขับขี่ พร้อมสร้างนิยามใหม่ให้การขับขี่ด้วยประสบการณ์แบบอินเตอร์แอคทีฟ เทคโนโลยี B2V (Brain-to-Vehicle) ของนิสสันจะช่วยทำให้ปฏิกิริยาตอบสนองของผู้ขับขี่รวดเร็วขึ้น ทำให้สามารถควบคุมการขับขี่ได้ดีมากขึ้น รวมถึงเพิ่มประสบการณ์ขับขี่ที่สนุกยิ่งขึ้นอีกด้วย

เทคโนโลยี B2V เป็นวิวัฒนาการล่าสุดของนิสสัน อินเทลลิเจ้นท์ โมบิลิตี้ ซึ่งเป็นวิสัยทัศน์ของนิสสันที่มุ่งเปลี่ยนแปลงรูปแบบการขับขี่ยานยนต์ในอนาคต รวมถึงการทำให้ยานยนต์ใช้พลังงานขับเคลื่อนที่สะอาด และเพิ่มพูนคุณภาพชีวิตของคนในสังคม โดยนิสสันจะแสดงเทคโนโลยีสุดล้ำนี้ในงานแสดงเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ปี 2561 หรือ CES 2018 trade show ที่จะจัดขึ้น ณ เมืองลาสเวกัส สหรัฐอเมริกา

“เวลาที่คนส่วนใหญ่นึกถึงเทคโนโลยีการขับขี่อัตโนมัติ พวกเขายังคงไม่เห็นภาพที่มนุษย์ให้เทคโนโลยีเป็นผู้ควบคุมทุกอย่างอย่างชัดเจน แต่เทคโนโลยี B2V ได้ทำสิ่งที่แตกต่างออกไป ด้วยการจับสัญญาณสมองของผู้ขับขี่ ในการสร้างประสบการณ์ที่น่าสนุกและตื่นเต้นมากยิ่งขึ้น ภายใต้วิสัยทัศน์นิสสัน อินเทลลิเจ้นท์ โมบิลิตี้ เรากำลังสร้างโลกที่ดีกว่าให้ทุกคนด้วยการนำเสนอเทคโนโลยียานยนต์อัจฉริยะที่มีความอัตโนมัติมากขึ้น ใช้พลังงานไฟฟ้ามากขึ้น และสามารถเชื่อมต่อกันได้มากยิ่งขึ้น” มร. แดเนียล สกิลลาชี รองประธานบริหาร ฝ่ายการขายและการตลาดทั่วโลก และประธานคณะกรรมการบริหาร ธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ ประเทศญี่ปุ่น ภูมิภาคเอเชียและโอเชียเนีย  บริษัท นิสสัน มอเตอร์ คอร์เปอร์เรชั่น กล่าว

เทคโนโลยีล่าสุดจากนิสสัน เป็นผลมาจากการค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีถอดรหัสสมองของมนุษย์ เพื่อคาดการณ์การกระทำและตรวจจับความกังวลของผู้ขับขี่ อันได้แก่

การคาดการณ์: โดยจับสัญญาณสมองก่อนที่ผู้ขับขี่จะลงมือทำการต่างๆ เช่น หมุนพวงมาลัย หรือเหยียบคันเร่ง เทคโนโลยีที่เปรียบเสมือนตัวช่วยของผู้ขับขี่จะทำให้การกระทำนั้นเกิดได้รวดเร็วขึ้น ถือเป็นการช่วยเร่งปฏิกริยาตอบสนองของผู้ขับขี่และทำให้สามารถขับขี่ได้ดีมากยิ่งขึ้น

การตรวจจับ: โดยการจับและประเมินความกังวลของผู้ขับขี่ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) สามารถเปลี่ยนลักษณะและรูปแบบการขับขี่ได้เมื่ออยู่ในโหมดขับขี่อัตโนมัติ

“นอกจากนี้สิ่งที่ B2V สามารถทำได้คือการปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมภายในรถยนต์” ดร. ลูเซียน กอร์เก (Dr. Lucian Gheorghe) นักค้นคว้าวิจัยด้านนวัตกรรมอาวุโส และหัวหน้าโครงการ B2V ศูนย์วิจัยยานยนต์นิสสันในประเทศญี่ปุ่น กล่าวโดย B2V สามารถใช้เทคโนโลยีภาพเสมือน (Augmented Reality - AR) ในการปรับเปลี่ยนสิ่งที่คนขับมองเห็น เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ผ่อนคลายภายในห้องโดยสาร

“สิ่งที่ B2V สามารถทำได้เป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อ” ดร. กอร์เก กล่าวเสริม “งานค้นคว้านี้จะเป็นตัวเร่งให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ ในยานยนต์ของนิสสันต่อไปในอนาคต”

เทคโนโลยี B2V ของนิสสัน ได้รับการคิดค้นขึ้นเป็นครั้งแรกในโลก โดยผู้ขับขี่ต้องสวมใส่เครื่องจับการทำงานของสมอง ซึ่งจะทำการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยระบบขับขี่อัตโนมัติ โดยระบบสามารถสั่งให้ยานยนต์ทำงาน เช่น หมุนพวงมาลัย หรือชะลอความเร็วของรถ ได้อย่างนิ่มนวล และรวดเร็วขึ้น 0.2 – 0.5 วินาที โดยพิจารณาจากความคิดที่เกิดขึ้นของผู้ขับขี่

นิสสันจะนำเสนอการทำงานบางส่วนของเทคโนโลยี B2V โดยมี ดร. กอร์เก เป็นผู้ให้สัมภาษณ์ ในงานแสดงเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ (CES) ณ บูธหมายเลข 5431 ณ ลาสเวกัส คอนเวนชั่น    เซ็นเตอร์ นอร์ธ ฮอลล์

# # #

เกี่ยวกับ บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด

นิสสัน ก่อตั้งในประเทศญี่ปุ่น ตั้งแต่ปี พ.ศ 2476 โดยมีนโยบายหลักที่จะนำเสนอนวัตกรรมที่สร้างความตื่นเต้นเร้าใจให้กับลูกค้า (Innovation that Excites) ทำให้ลูกค้าได้รับความสุขกับรถของนิสสัน ขณะเดียวกันนิสสันยังต้องการปรับปรุงคุณภาพชีวิตให้กับคนในสังคม โดยนิสสันได้ประกาศเป้าหมายในการมีส่วนร่วมลดค่ามลพิษให้เป็นศูนย์ และลดการสูญเสียบนท้องถนนให้เป็นศูนย์  นิสสันจึงมุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีการขับเคลื่อนที่อัจฉริยะ โดยมีแผนที่จะแนะนำระบบขับขี่อัตโนมัติ ในรถยนต์รุ่นหลักในภูมิภาคต่างๆ  เพื่อเพิ่มความปลอดภัยบนท้องถนนไปพร้อมๆ กับการสร้างความสุขให้กับผู้ขับขี่ สำหรับประเทศไทยนิสสันเริ่มดำเนินธุรกิจ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2495 ปัจจุบันมีบริษัทในเครือ 5 แห่ง และฐานการผลิตรถยนต์รวม 2 แห่ง   มีเครือข่ายโชว์รูมและศูนย์บริการมากกว่า 190 แห่ง โดยมีผลิตภัณฑ์รถยนต์ตอบสนองลูกค้าทุกเซกเมนต์รวม 10 รุ่น  ไม่ว่าจะเป็น รถยนต์อีโค คาร์  รถยนต์อเนกประสงค์ รถยนต์พรีเมี่ยมซีดาน  รถกระบะ และรถตู้  

เกี่ยวกับ บริษัท นิสสัน มอเตอร์ จำกัด

นิสสัน เป็นผู้ผลิตรถยนต์ระดับโลกที่จำหน่ายรถยนต์มากกว่า 60 รุ่นภายใต้แบรนด์นิสสัน อินฟินิตี้ และดัทสัน ในปีงบประมาณ 2559 บริษัทฯ มียอดขายรถยนต์มากกว่า 5.63 ล้านคันทั่วโลก สร้างรายได้มูลค่า 11.72 ล้านล้านเยน ในปีงบประมาณ 2560 บริษัทฯ เริ่มดำเนินการแผนกลยุทธ์ระยะกลาง Nissan M.OV.E. to 2022 ซึ่งเป็นแผนธุรกิจ 6 ปีที่มีเป้าหมายในการเพิ่มรายได้ 30% เป็นมูลค่า 16.5 ล้านล้านเยน เมื่อสิ้นสุดปีงบประมาณ 2565 โดยมีผลกำไร 8% และกระแสเงินสดสะสมจำนวน 2.5 ล้านล้านเยน ภายใต้กลยุทธ์ดังกล่าว นิสสันมุ่งตอกย้ำความเป็นผู้นำในนวัตกรรมรถยนต์ไฟฟ้า ผ่านรถยนต์นิสสัน ลีฟ ซึ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ขายดีที่สุดในประวัติศาสตร์ สำนักงานใหญ่ของนิสสันที่ตั้งอยู่ที่เมืองโยโกฮามา ประเทศญี่ปุ่น แบ่งเขตปฏิบัติการออกเป็น 6 พื้นที่ ประกอบไปด้วย เอเชียและโอเชียเนีย แอฟริกา ตะวันออกกลางและอินเดีย จีน ยุโรป ละตินอเมริกา และอเมริกาเหนือ นิสสันมีพนักงานทั่วโลกจำนวน 247,500 คน ทั้งยังเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจกับ เรโนลต์ ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติฝรั่งเศส ภายใต้พันธมิตร เรโนลต์ – นิสสัน ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2542 และในปี พ.ศ. 2559 นิสสันได้เข้าซื้อหุ้นเป็นจำนวน 34% จากมิตซูบิชิ จนได้เข้าร่วมพันธมิตรเป็นสมาชิกรายที่สาม ปัจจุบันเรโนลต์ นิสสัน และมิตซูบิชิ มอเตอร์สเป็นพันธมิตรธุรกิจยานยนต์ที่ใหญ่ที่สุดและมียอดขายรวมกันสูงระดับ 10 ล้านคันต่อปี

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ การบริการ และการขนส่งเพื่อความยั่งยืน สามารถติดตามข้อมูลข่าวสารผ่านช่องทาง nissan-global.com Facebook, Instagram, Twitter and LinkedInพร้อมรับชมวีดีโอล่าสุดได้ที่ YouTube