โดย ราเมช นาราสิมัน ประธาน บริษัท นิสสัน มอเตอร์ ประเทศไทย

กรุงเทพฯ, ประเทศไทย (ธันวาคม 2019) – ปี 2563 กำลังจะมาถึง ทำให้ผมตั้งใจคิดถึงปณิธานสำหรับปีใหม่นี้ ในฐานะพ่อคนหนึ่ง ผมต้องการสร้างสรรค์สังคมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมให้มากขึ้น ไม่ใช่เพียงเพื่อลูกทั้งสองคนของผมเท่านั้น แต่เพื่อพวกเราทุกคน เพื่อโลกที่ทุกคนจะสูดอากาศบริสุทธิ์ได้โดยไม่ต้องกังวลถึงสุขภาพและมลพิษ

แต่เรายังอยู่ห่างไกลจากอนาคตที่อากาศสดใสนั้นเหลือเกิน เพราะปัจจุบัน อัตราการเสียชีวิตจากมลพิษทางอากาศมีจำนวนมากกว่าการบาดเจ็บบนท้องถนนหรือโรคมาลาเรียเสียอีก[1] นอกจากนี้ 91% ของประชากรโลกอาศัยอยู่ในบริเวณที่มีมลพิษทางอากาศสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดโดยองค์การอนามัยโลก (WHO) ส่งผลให้ทุกปีมีผู้เสียชีวิตจากมลพิษทางอากาศ[2] สูงถึง 4.2 ล้านราย

เฉพาะปีนี้ปีเดียว หลายจังหวัดในประเทศไทยต้องเผชิญกับการกลับมาของวิกฤตฝุ่นละอองขนาดเล็ก  PM2.5 ในระดับที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพถึงสองครั้ง เราจึงต้องเร่งหามาตรการเพื่อขจัดมลพิษทางอากาศในระยะยาวอย่างเร่งด่วน

การก่อสร้างต่าง ๆ ทั้งโครงสร้างพื้นฐานและอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงการจราจรที่แออัด เป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลให้เกิดปัญหามลพิษทางอากาศ และนำมาซึ่งปัญหาสุขภาพ ไม่เพียงเฉพาะประเทศไทย แต่ยังรวมถึงประเทศที่มีรายได้ต่ำ ปานกลาง และสูงอีกด้วย

ปัญหาสิ่งแวดล้อมเช่นนี้กำลังได้รับการพิจารณาแก้ไขในระดับประเทศ โดยรัฐบาลมีมติเห็นชอบในแผนปฏิบัติการเพื่อแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ แต่แนวทางการแก้ไขอย่างยั่งยืนต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐและเอกชน

ทั้งนี้ ผมเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า นิสสัน ลีฟ ใหม่ รถยนต์พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ 100% และเทคโนโลยี e-POWER ที่มีกำหนดเปิดตัวอย่างเป็นทางการเร็ว ๆ นี้ จะช่วยให้ผู้คนนับล้านมีอากาศสะอาดไว้หายใจมากขึ้น

ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น? คุณรู้หรือไม่ว่ารถยนต์พลังงานไฟฟ้า 1 คัน ช่วยลดก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 4.5 ตันต่อปี เพื่อเปรียบเทียบให้เห็นภาพ ต้นไม้ 1 ต้นสามารถดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ได้ถึง 22 กิโลกรัมต่อปี ซึ่งหมายความว่ารถยนต์พลังงานไฟฟ้า 1 คันให้ประโยชน์เทียบเท่าการปลูกต้นไม้ 205 ต้น[3]

ที่นิสสัน เราได้กำหนดเป้าหมายในการจำหน่ายรถยนต์พลังงานไฟฟ้าให้ได้ 1 ล้านคันต่อปี ภายในปี 2565 ซึ่งจะทำให้ นิสสัน มีส่วนสำคัญช่วยโลกลดก๊าซเรือนกระจกลงได้ถึง 4.5 ล้านตันต่อปี เทียบเท่าการปลูกต้นไม้ถึง 2.05 พันล้านต้น เพิ่มเติมจากปริมาณก๊าซเรือนกระจก 810 ล้านตันที่ลดลง จากจำนวนรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ทั้งหมดในอุตสาหกรรม หรือเทียบเท่าต้นไม้ 369 พันล้านต้น[4]

ตัวอย่างข้างต้น แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของ รถไฟฟ้าในการลดมลพิษทางอากาศ นิสสัน ในฐานะผู้นำเทคโนโลยีรถยนต์พลังงานไฟฟ้าระดับโลก ด้วยยอดขาย นิสสัน ลีฟ กว่า 430,000 คันจากทั่วโลก และผู้ขับขี่ นิสสัน ลีฟ ทุกคัน ได้ร่วมกันประหยัดน้ำมันไปแล้วถึง 3.8 ล้านบาร์เรลทุกปี หรือลดปริมาณก๊าซ CO2 ได้ถึง 1 ล้านตัน นอกจากนี้ เรายังตั้งเป้าเพื่อบรรลุเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซ CO2 จากผลิตภัณฑ์ของเราลง 90% ภายในปี 2593

ในช่วงห้าปีที่ผ่านมา ยอดขายรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่ขับเคลื่อนด้วยแบตเตอรี่ทั่วโลกเพิ่มขึ้นถึง 23 เท่า และเมื่อดูเฉพาะยอดขายของปีที่ผ่านมา รถยนต์พลังงานไฟฟ้ามียอดขายรวมทั่วโลกสูงถึง 4 ล้านคัน[5] ในขณะที่ทั้งอุตสาหกรรมใช้เวลาถึง 6 ปีในการขายรถยนต์ไฟฟ้ารวมกันได้ 1 ล้านคันแรก แต่ตอนนี้ เราใช้เวลาเฉลี่ยเพียง 6 เดือนในการขายรถยนต์ไฟฟ้าให้ได้ 1 ล้านคัน [6]

การเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าเป็นไปอย่างรวดเร็ว โดยรายงานด้านรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ของ Deloitte ได้คาดการณ์ถึงจุดเปลี่ยนของอุตสาหกรรมที่ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าจะสามารถแซงหน้ารถยนต์แบบธรรมดาได้ภายใน 3 ปีข้างหน้า

อีกก้าวสำคัญของนิสสันเพื่อบรรลุวิสัยทัศน์ด้านการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ คือ การพัฒนาเทคโนโลยี  e-POWER ซึ่งพร้อมจะโลดแล่นบนท้องถนนของไทยเร็ว ๆ นี้  โดยระบบส่งกำลังไฟฟ้า e-POWER ของนิสสันใช้เครื่องยนต์เบนซินเพื่อชาร์จแบตเตอรี่กำลังไฟสูง ทำให้ผู้ขับขี่ได้รับประสบการณ์การขับขี่ที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าแบบ 100% ช่วยประหยัดเชื้อเพลิงมากขึ้น ทั้งยังมีอัตราการปล่อยไอเสียน้อยกว่าเครื่องยนต์สันดาปภายในทั่วไป

ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้ ผมขอเป็นอีกหนึ่งเสียงในการสนับสนุนเป้าหมายของประเทศไทยอย่างเต็มที่ ในการผลักดันให้เกิดการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าให้ได้ถึง 1.2 ล้านคันภายในปี 2579 และนิสสันพร้อมร่วม ขับเคลื่อนประเทศไทยให้สามารถบรรลุเป้าหมายนี้ โดยตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนการขายรถยนต์ไฟฟ้า (รถยนต์พลังงานไฟฟ้า และ  e-POWER) เป็น 25% จากรถยนต์ทั้งหมด ที่จำหน่ายในเอเชีย โอเชียเนีย[7] นอกจากนี้  นิสสันยังได้ประกาศแผนเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ 8 รุ่น และตั้งเป้าจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า 1 ล้านคันต่อปี ภายใน 2565

ในโอกาสที่ฤดูกาลแห่งการเฉลิมฉลองกำลังใกล้เข้ามา ผมอยากให้ทุกคนมีส่วนร่วมกันแก้ไขปัญหา โดยเริ่มต้นจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเราเอง เพื่อช่วยสร้างอากาศที่สะอาด สดใส ในเมืองของเรา เพื่อเรา ลูกหลานของเรา และคนรุ่นต่อ ๆ ไป

เกี่ยวกับ บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด

นิสสัน ก่อตั้งในประเทศญี่ปุ่น ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2476 โดยมีนโยบายหลักที่จะนำเสนอนวัตกรรมที่สร้างความตื่นเต้นเร้าใจให้กับลูกค้า (Innovation that Excites) ทำให้ลูกค้าได้รับความสุขกับรถของนิสสัน ขณะเดียวกันนิสสันยังต้องการปรับปรุงคุณภาพชีวิตให้กับคนในสังคม โดยนิสสันได้ประกาศเป้าหมายในการมีส่วนร่วมลดค่ามลพิษให้เป็นศูนย์ และลดการสูญเสียบนท้องถนนให้เป็นศูนย์  นิสสันจึงมุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีการขับเคลื่อนที่อัจฉริยะ โดยมีแผนที่จะแนะนำระบบขับขี่อัตโนมัติ ในรถยนต์รุ่นหลักในภูมิภาคต่าง ๆ เพื่อเพิ่มความปลอดภัยบนท้องถนนไปพร้อมๆ กับการสร้างความสุขให้กับผู้ขับขี่ สำหรับประเทศไทยนิสสันเริ่มดำเนินธุรกิจ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2495 ปัจจุบันมีบริษัทในเครือ 5 แห่ง และฐานการผลิตรถยนต์รวม 2 แห่ง มีเครือข่ายโชว์รูมและศูนย์บริการมากกว่า 180 แห่ง โดยมีผลิตภัณฑ์รถยนต์ตอบสนองลูกค้าทุกเซกเมนต์รวม 10 รุ่น ไม่ว่าจะเป็น รถยนต์อีโค คาร์ รถยนต์อเนกประสงค์ รถยนต์พรีเมี่ยมซีดาน รถกระบะ และรถตู้  

 

เกี่ยวกับ บริษัท นิสสัน มอเตอร์ จำกัด

นิสสัน เป็นผู้ผลิตรถยนต์ระดับโลกที่จำหน่ายรถยนต์มากกว่า 60 รุ่นภายใต้แบรนด์นิสสัน อินฟินิตี้ และดัทสัน ในปีงบประมาณ 2561 บริษัทฯ มียอดขายรถยนต์มากกว่า 5.52 ล้านคันทั่วโลก สร้างรายได้มูลค่า 11.6 ล้านล้านเยน สำนักงานใหญ่ของนิสสันที่ตั้งอยู่ที่เมืองโยโกฮามา ประเทศญี่ปุ่น แบ่งเขตปฏิบัติการออกเป็น 6 พื้นที่ ประกอบไปด้วย เอเชียและโอเชียเนีย แอฟริกา ตะวันออกกลางและอินเดีย จีน ยุโรป ละตินอเมริกา และอเมริกาเหนือ นิสสันเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับ เรโนลต์ ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติฝรั่งเศส ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2542 และ ได้เข้าซื้อหุ้นเป็นจำนวน 34% จากมิตซูบิชิในปี พ.ศ. 2559  ปัจจุบันเรโนลต์ นิสสัน และมิตซูบิชิ มอเตอร์สเป็นพันธมิตรธุรกิจยานยนต์ที่ใหญ่ที่สุดและมียอดขายรวมกันมากกว่า 10.76 ล้านคันในปี 2561

 

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ การบริการ และความมุ่งมั่นในการนำเสนอยานยนต์เพื่อความยั่งยืน สามารถติดตามได้ที่ nissan-global.com, Facebook, Instagram, Twitter, LinkedIn และรับชมวีดีโอล่าสุดที่ YouTube